
คิมิ(Kimi) โอมากาเสะ ราคาดี มีความคุ้มค่าน่าลิ้มลอง
อิ๊งค์ Eat All Around



























คิมิ(Kimi) โอมากาเสะ ราคาดี มีความคุ้มค่าน่าลิ้มลอง
มีร้านญี่ปุ่นยอดฮิตประเภทหนึ่งผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง เป็นการรับวัฒนธรรมการชิมของร้านซูชิมีระดับในญี่ปุ่น ซึ่งก็คือร้านซูชิสไตล์โอมากาเสะ(Omakase) อันมีความหมายว่าให้ตามใจเชฟซูชิ มีอะไรดีชั้นเลิศตามฤดูกาลในวันนั้นก็ให้ทยอยทำมาทีละคำทีละจาน
เดี๋ยวนี้มีร้านซูชิโอมากาเสะเกิดขึ้นมากมาย ต่างก็แข่งขันประชันกันนำเข้าปลาชั้นดีจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งแน่นอนว่าราคาต่อหัวย่อมสูงลิ่วหลายพันบาทไปจนถึงเหยียบหมื่น
ซึ่งคราวนี้ภูมิใจนำเสนอร้านโอมากาเสะในบรรยากาศสุดคูล 14 อย่าง ในราคาที่ค่อนข้างสบายกระเป๋าเพียงคนละ 2,499 บาท++ หรือประมาณ 2,941 บาทสุทธิเท่านั้น แต่คุณภาพไม่ธรรมดาคุ้มค่ามาก มีการบ่มปลาทาซอส คัดสรรจับคู่วัตถุดิบเพื่อให้มีรสชาติลงตัว
ร้านนี้มีชื่อว่า Kimi อยู่ในโครงการเล็กๆชื่อว่า 49 Terrace ริมซอยสุขุมวิท 49 ตรงพื้นที่ด้านนอกกลางแจ้งชั้นล่างข้างบันไดหลัก ใกล้กับร้านกาแฟ Starbucks
คำว่า Kimi แปลว่าคุณในภาษาไทย เป็นคำเรียกอย่างไม่เป็นทางการ โดยมากผู้ชายมักจะเป็นคนพูดกับเพื่อนฝูงหรือคนที่เด็กกว่า หรือเรียกแฟน
นี่คือร้านโอมากาเสะที่มีบรรยากาศสบายๆผ่อนคลายที่สุดเท่าที่เคยชิมมา ซุ้มไม้สีเหลืองอ่อนกลางแจ้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่สวนหย่อมตรงกลาง มีเคาน์เตอร์บาร์ให้นั่งล้อม(เป็นตัวแอลได้มากสุดรอบละ 8 คน) โดยมีกันสาดคลุ่มและม่านกั้นยามฝนตก แต่อากาศก็เย็นสบาย เพราะติดตั้งทั้งพัดลมและเครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่อีกด้วย
เจ้าของร้านนี้คือหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ชาวไทย 3 คนวัยยี่สิบกว่า ชื่อน้องเจนนี่ น้องเจมส์และน้องแพทริค ร่วมกันเปิดร้านมาได้ 6 เดือน มีขาประจำทั้งวัยรุ่นวัยทำงานชาวไทย และชาวต่างชาติ ฝรั่ง เกาหลี ฟิลิปปินส์ แม้กระทั่งชาวญี่ปุ่นที่ทำงานในเมืองไทยก็มาอุดหนุนด้วย
ตอนนี้ Kimi เปิดให้จองคิววันละ 3 รอบ คือ 13.00 น. 18.00 น. และ 19.45 น. ระยะเวลาต่อคอร์สประมาณชั่วโมงกว่า รับได้สูงสุดรอบละ 8 คน(นั่งชิดๆกันหน่อย)
ร้านนี้ได้เชฟเอ เชฟหนุ่มไฟแรงที่ผมเคยรู้ฝีมือการทำซูชิของเขามาแล้ว และมีเชฟแวน ผู้เป็นผู้ช่วย โดยคอนเซปต์โอมากาเสะของ Kimi จะเน้นซาชิมิกับซูชิสไตล์เอโดะ(Edomae) เป็นหลัก(ไม่เน้นสไตล์คัปโปะ Kappo ที่มีเมนูของสุก) ปิดท้ายด้วยซุปกับไอศกรีม รวมทั้งหมด 14 อย่าง
แน่นอนว่าปลาตามฤดูกาลสดอร่อยส่งตรงมาจากตลาดปลาญี่ปุ่นทุกวันอังคารและวันศุกร์ ความโดดเด่นอยู่ที่เชฟนำมาบ่ม(Aged)และจุ่มซอสทาซอสหรือนำไปดอง จนสามารถเพิ่มรสชาติความหอมของตัวปลาออกมาอย่างน่าประทับใจ ถึงแม้ราคาระดับนี้จะไม่สามารถใช้ของหรูอย่างเช่นเป๋าฮื้อมาอยู่ในคอร์สได้ก็ตาม บอกเลยว่ามาร้านนี้แล้วอยากกลับมากินอีกอยู่เรื่อยๆ
เริ่มต้นคำแรกกันด้วยปลาดิบหรือซาชิมิ ปลาบุรี(Buri)จากทะเลแถวจังหวัดคาโกชิมะ(ไม่ใช่เลี้ยงในฟาร์ม) เชฟเอบอกฤดูกาลนี้ปลาบุรีจะเริ่มมีไขมันเยอะกินอร่อย โดยจะบ่มปลา 5 วันจากนั้นไปทำสึเกะ(Zuke) หรือจุ่มในโชยุที่มีรสเค็มเล็กน้อย กินคู่กับชิ้นท้องปลาที่พ่นไฟหรืออบุริ(Aburi)จนหอมๆ โดยจานนี้ได้คนละ 3 ชิ้น ส่วนผมนั้นแพ้ปลาฮามาจิและปลาบุรี จึงได้ท้องปลาทูน่าหรือชูโทโร่(Chutoro)แทน
เชฟเอจัดพิเศษให้ลูกค้าทุกคนได้ลิ้มลองเอบิครีมโคโรเกะ หรือโครเกตต์กุ้งสับราดซอสคิโนโกะทำจากเห็ดชิเมจิ ซึ่งไม่ได้อยู่ในคอร์ส แต่เป็นเมนูสำหรับสั่งกินเล่นที่โต๊ะนั่งดื่มอยู่บริเวณเดียวกัน และต่อไปจะอยู่ในคอร์สใหญ่ที่จะทำเพิ่มเร็วๆนี้ในราคา 4- 5 พันบาทต่อหัว
อย่างที่สองในคอร์สคือ ชิเมะซาบะหรือซาบะดองห่อสาหร่ายไม่ใส่ข้าวซูชิเลย ซึ่งจะนำปลามาบ่ม 6 วัน แล้วดองเกลือ รีดน้ำออก จากนั้นดองน้ำส้มสายชู 1 ชั่วโมงและพัก 1 คืน จนมีรสเปรี้ยวเค็มหอมในตัวอร่อยมาก ให้มา 2 คำ กินหมดในพริบตา
จานที่สามเป็นของสุกที่ชื่นชอบมากๆ ปลามาได(Madai)หรือกะพงแดงญี่ปุ่น นำไปทอดทั้งเกล็ดจนกรอบอร่อยมาก ราดด้วยซอสอังกาเกะ(Ankake)ผสมน้ำปลาแห้งใส่แป้งมัน ใส่ไข่ปลาแซลมอนด้วย
จากนั้นจะเริ่มเสิร์ฟซูชิหรือข้าวปั้น ซึ่งปลาทุกอย่างจะผ่านการบ่ม โรยเกลือ รีดน้ำออก เริ่มด้วยซูชิปลาชิมะอาจิ(Shima Aji) ที่มีรสชาติเค็มเปรี้ยวอมหวานหอมอร่อย ต่อด้วยซูชิหอยเชลล์ฮอกไกโดขนาดเล็กแต่พอดีคำโตๆ ที่ใช้มีดตะกุยจนกลายเป็นดอกไม้บาน เพื่อให้ซอสได้ซึมซับมีรสชาติทั่วถึง บีบมะนาวเหลืองเพิ่มความเปรี้ยวสดชื่น
คำที่ 6 เป็นซูชิอกามิ(Akami) เนื้อแดงปลาทูน่าสึเกะหรือจุ่มโชยุปรุงรสนาน 5 นาที จนมีรสชาติในตัว
คำที่ 7 ซูชิปลาอิชิได(Ishidai)หรือกะพงลายดำ มีเอ็นด้วยเนื้อเด้งหนึบอร่อย ข้าวซูชิแตะด้วยผิวยูสุเพิ่มความหอม
คำที่ 8 คือของโปรดผม ซูชิปลาโนโดกุโระ Nodoguro หรือปลากะพงสีชมพูจากญี่ปุ่น มีอีกชื่อว่าปลาคอดำ เพราะข้างในคอปลาจะเป็นสีดำเนื่องจากกินสาหร่ายน้ำลึก มีเนื้อสีขาวนุ่มหอมมัน พ่นไฟเพิ่มความหอมเป็นทวีคูณ ทาด้วยมัสตาร์ดจากจังหวัดยามากุจิ(Yamaguchi)
ต่อด้วยคำที่ 9 ของโปรดผมเช่นกัน ซูชิชูโทโร่(Chutoro) ท้องปลาทูน่าชิ้นปลามัน บ่มและจุ่มซอสจนอร่อยหอมมันมีรสชาติมากๆ ผมชอบชูโทโร่มากกว่าโอโทโร่ ซึ่งจะมีความมันเยอะๆ
คำที่ 10 คือไฮไลท์สุดโปรด อูนิ(Uni) ไข่หอยเม่นทั้งชนิดบาฟุน(Bafun)สีส้มๆและมุราซากิ(Murasaki)สีเหลืองอ่อน โปะบนข้าวในถ้วยเล็กๆ นัวหอมมันอย่าบอกใคร เชฟเอบอกว่าไข่หอยเม่นยี่ห้อ Maruhiro นี้ คนญี่ปุ่นฮิตกันมาก เนื้อครีมๆหวานมันจริงๆ เข้ากันดีกับวาซาบิที่มีความฉุนเล็กน้อย
จากนั้นเปลี่ยนจากปลามาลิ้มลองหอยกันบ้าง กับซูชิหอยปีกนก ฮอกกิไก(Hokkigai) เนื้อหวานกรอบ บีบมะนาวนิดหน่อยเพิ่มความสดชื่น ก่อนจะปิดท้ายด้วยเนหงิโทโร่(Negitoro) ท้องปลาทูน่าสับ กินกับตาก้วง หัวไชเท้าดองและต้นหอม ใส่ข้าวซูชิ ห่อด้วยสาหร่ายเป็นม้วนยาวๆ ใช้มือจับกินได้เลย
พอจอบคอร์สก็จะเสิร์ฟซุปให้ล้างปากตามธรรมเนียม ซึ่งคืนนี้ถูกใจมากๆ เป็นซุปที่รสชาติเข้มข้นจนอยากขอเพิ่มอีกถ้วย ทำจากเศษปลาและกระดูกปลาย่าง ใส่ชิ้นปลาเล็กๆ
อย่างที่ 14 ปิดท้ายด้วยไอศกรีม มีให้เลือกระหว่างรสชาเขียวกับรสสตรอว์เบอร์รีชีสเค้ก มีครัมเบิ้ลกรอบๆด้วย โดยน้องแพทริคซึ่งทำไอศกรีมโฮมเมดกับเพื่อนอยู่แล้ว ครีเอท 2 รสชาตินี้ให้ร้านคิมิโดยเฉพาะ
สรุปว่านี่คือค่ำคืนแสนประทับใจ ไม่เคยเจอการกินซูชิโอมากาเสะที่ผ่อนคลายสุดคูลเช่นนี้ที่ไหนมาก่อนเลย อย่ารอช้าจองล่วงหน้าได้ที่ Line @kimisushibar หรือโทรหาที่เบอร์ 096-649-6249 ขอย้ำว่ามีวันละ 3 รอบๆละไม่เกิน 8 คน หยุดทุกวันจันทร์นะจ๊ะ