รสิก Rasik Local Kitchen

รสิกเปิดเฉพาะมื้อเย็น 3 รอบ แต่ละรอบมีแค่ 4 โต๊ะเท่านั้น จัดอยู่ในประเภท”ข้าทำครัวคนเดียว” โดยเชฟหวาย สาละ ศักดาเดช(ในวัยเพียง 35 ปี) มีเมนูเปลี่ยนไปตามฤดูกาล สั่งได้ตามใจชอบเป็นจานๆ ไม่ได้ทำเป็นคอร์สบังคับ 

ความสนุกคือเชฟหวายจะใช้วัตถุดิบตามฤดูกาล การไปที่ร้านแต่ละช่วงฤดูจึงจะได้ชิมของใหม่อยู่เสมอ โดยตอนที่ผมไปคือปลายเดือนตุลาคมปีที่แล้วเป็นเมนูฤดูฝน ส่วนเมนูฤดูฝนปีนี้ก็มีเปลี่ยนไปหลายอย่าง และจะต่อด้วยเมนูฤดูหนาวช่วงปลายปี 

สามารถดูเมนูได้โดยค้นหาร้านรสิก โลคอล คิทเช่น ในกูเกิ้ลแมพส์ จากนั้นเลื่อนไปกดดูในช่อง Menu (ใครทำไม่เป็นให้ลูกหลานเปิดให้นะจ๊ะ) หรือดูเมนูได้ในไฮไลท์ Story ของอินสตาแกรมร้าน หรือสอบถามที่ร้านโดยตรง

ซึ่งที่รสิกจะให้จองล่วงหน้าก่อนเท่านั้น คิวยาวประมาณ 3-7 วัน ไม่ถึงกับนานเป็นเดือน สามารถเข้าไปจองผ่านช่องทาง direct message ของอินสตาแกรม rasik.chiangmai และทางเฟซบุ๊กเพจชื่อร้าน Rasik Local Kitchen - รสิก โลคอลคิทเช่น แจ้งชื่อ จำนวนคน เบอร์โทร วัน เวลาคร่าวๆ ถ้าทางร้านตอบรับมาแสดงว่าจองสำเร็จ และจะให้ชำระค่ามัดจำแล้วแต่จำนวนคนเช่น มา 2 คน มัดจำ 500 บาท ไปจนถึง 8 คน มัดจำ 3,000 บาท 

ซึ่งจะเปิดเฉพาะมื้อเย็น 17.00-22.00 น.หยุดทุกวันอังคาร แบ่งเป็น 3 รอบ นั่งได้รอบละ 1 ชั่วโมงครึ่ง(17.00-18.30 น. รอบที่สอง 18.30 – 20.00 น. ส่วนรอบสุดท้าย 2 ทุ่มนั่งได้ 2 ชั่วโมงจนถึงปิดร้านสี่ทุ่มเลย) โทรสอบถามได้ที่ 08-3269-6632(เปิดเครื่องตอนที่ร้านเปิดเท่านั้น)

น้องหวายเคยทำอยู่ที่ห้องอาหารอิตาเลียนในโรงแรมเลอเมอริเดียนเชียงใหม่ พอออกมาเปิดร้านรสิก หันมาทำเมนูไทยทวิสต์(twist) โดยใช้วัตถุดิบของภาคเหนือ ใต้ อีสาน มีของทะเลสดๆจากเรือประมงพื้นบ้านฝั่งอันดามันด้วย เช่นจากเกาะลิบง จ.ตรัง จากจ.กระบี่และพังงา สดมากจนประหลาดใจ คัดสรรเครื่องปรุงท้องถิ่นหลากหลาย เช่นน้ำปลาสุโขทัย กะปิเกาะลิบง น้ำตาลมะพร้าวชุมพร ปลาร้านครพนม ข้าวหอมมะลิเชียงใหม่ ฯลฯ

โดยแบ่งเป็น เมนูพิเศษ(Special menu) ซึ่งอาจจะไม่ได้มีขายทุกวัน เมนูตามฤดูกาล (Seasonal menu) และ Rasik menu คือเมนูคลาสสิกประจำร้าน เท่านี้ยังไม่พอ ยังมีเมนูพิเศษประจำวันนั้นๆอีกด้วย ซึ่งไม่ควรพลาด โดยเชฟหวายจะทำอาหารในครัวเปิดโล่งอย่างใกล้ชิด

ขอยกตัวอย่างเมนูที่ชิมไปคราวนั้น เริ่มกันด้วยเมนูคลาสสิกต่างๆของร้าน น้ำตกลิ้นวัว(350 บาท) โคนลิ้นวัวชาโรเลย์หมักดอกเกลือนุ่มหอมเด้ง ใส่ข้าวหอมมะลิคั่ว แกล้มผักชีฝรั่งซอย พริกจินดาทอด หอมแขก แตงกวา จิ้มแจ่วปลาร้าเพิ่ม 

และเมนูสำหรับคนกินเนื้อมีอีกเพียบ เนื้อ(ซี่โครง)ตุ๋นย่างพริกลาบข้าวคั่ว (230 บาท) ตุ๋นเนื้อจนเปื่อยนุ่ม คลุกพริกลาบทางเหนือหอมๆ ใส่ข้าวคั่ว ย่างเตาถ่านจนหอม ต่อด้วยไขกระดูกวัวเผาและน้ำพริกข่า(230-300 บาท) ไขกระดูกวัวย่างเตาถ่านให้มีกลิ่นหอม โรยน้ำพริกข่าแก้เลี่ยนและเสริมรสชาติ ช่างสร้างสรรค์เสียจริง

ซึ่งของย่างต่างๆจะแกล้มด้วยผักพื้นบ้านเช่นใบมะตูมแขก ใบชะมวง ใบชะเอม ใบดีปลากั้ง สลับกันไป

ไม่กินเนื้อก็มีซี่โครงหมูสามชั้นย่างสามเกลอดีปลี(280 บาท) ทาซี่โครงจนหอมรากผักชี กระเทียม พริกไทย เพิ่มความหอมร้อนแรงด้วยดีปลี อีกทั้งเมนูซิกเนเจอร์ของน้องหวาย แกงคั่วหมูย่างกุหลาบมอญ(260 บาท) สูตรนี้เคี่ยวกะทิจนข้นหอม ห้ามพลาดเช่นกัน และมีเมนูง่ายๆไข่เจียวน้ำมันหมู(120 บาท) หอมมากเพราะน้ำมันหมูนี่เอง อย่าลืมสั่งข้าวหอมมะลิ(20 บาท)มากินพร้อมกับข้าวต่างๆ

ส่วนเมนูหมวดถัดมาจะเป็นเมนูตามฤดูกาล ซึ่งบางอย่างจะเป็นเมนูพิเศษเฉพาะวันนั้น ที่ถูกใจมากๆคือ ยำมังคุดเคยหวานกุ้งสดเม็ดมะม่วง(350 บาท) ยำสามรสกลมกล่อมเข้มข้นมาก กุ้งทะเลเข้ากันดีกับมังคุด ปรุงด้วยเคยหวานหรือกะปิกุ้งหวานจากเกาะลิบง ซึ่งมีความหวานเล็กน้อยและหอมมาก น่าเสียดายที่หมดฤดูกาลแล้ว

และจะมีของทะเลต่างๆย่างเตาถ่าน เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เรียกว่า แล้วแต่ใจทะเลจะให้มา(260-1,500 บาท) ให้สอบถามที่ร้านว่าวันนี้มีของทะเลอะไรนะจ๊ะ บางวันก็มีกุ้ง ปู ปลา แม้กระทั่งสเต๊กเนื้อดีๆ 

เมนูของทะเลพิเศษประจำวันที่ยกนิ้วให้สองข้างเลย ปลาเจ้าสมุทรย่าง(750 บาท ราคาอาจจะเปลี่ยน ) หมักแค่ดอกเกลือให้เนื้อปลามีความหวานธรรมชาติ ย่างเตาถ่านสุกกำลังดีเนื้อสดชุ่มฉ่ำเป็นก้อน น้องๆปลากิงกิของญี่ปุ่นเลย โรยด้วยพริกไทยปะเหลียนจาก จ.ตรัง ซึ่งปลาก็จะเปลี่ยนไปแล้วแต่ว่าวันนั้นได้อะไร

เดี๋ยวพอพ้นหน้าฝนก็จะมีพล่าหอยโนรา(ตระกูลหอยสังข์)(400 บาท ราคาน่าจะเปลี่ยนแล้ว) ถ้ามีให้สั่งด้วยนะจ๊ะ ย่างหอยแค่พอสุกเนื้อกรอบนุ่ม ปรุงด้วยน้ำพล่าผสมน้ำพริกเผา เพิ่มใบมะกรูด ตะไคร้ซอย ใส่หอมเจียว 

อีกทั้งหมึกหอมย่างหรือหมึกกระดองย่าง(350 บาท)ขึ้นอยู่กับฤดูกาล เนื้อเด้งๆเต็มคำ ซึ่งจะล้างด้วยน้ำทะเลมาก่อนอย่างเดียว(ไม่ล้างน้ำจืดเพราะเนื้อจะเหนียว) 

 เมนูตามฤดูกาลอีกอย่างคือไก่เมืองและซุปปลาแห้ง(290 บาท) ได้ซดน้ำรสเปรี้ยวด้วยมะขามอ่อนหรือมะเขือเทศอีเป๋อ ตอนหน้าหนาวก็จะมี เนื้อปลาดุกย่างเตาถ่าน สะเดาน้ำปลาหวาน(200 บาท ราคาน่าจะเปลี่ยน) 

ส่วนหมวดเมนูพิเศษประจำฤดูฝน ยกตัวอย่างเช่น ต้มแซ่บลิ้นวัว/เนื้อตุ๋น(250 บาท) เชียงดาผัดไข่(140 บาท) บางวันก็เป็นผักกูด กะหล่ำปลี มะเขือยาว และเมนูหมูทอดน้ำปลาแม่เด็ดดวงโรยสิหม่ะ(240 บาท) คือเครื่องเทศชาวดอยให้รสเปรี้ยวคล้ายมะขาม ส่วนน้ำปลามาจากสุโขทัย อีกทั้งหมึกทอดพริกลาบกับซอสผักไผ่(280 บาท) ทำเป็นสไตล์ซอสเพสโต้ผักไผ่หรือผักแพว และแกงขาวปลาโรยพริกรมควัน(350 บาท)เป็นแกงกะทิ พริกแกงคล้ายแกงเขียวหวาน แต่เอาพริกสีเขียวและใบสีเขียวออก เพิ่มเครื่องเทศเช่นลูกผักชี ยี่หร่ามากขึ้น

ที่น่าสนใจมากคือของหวานช่วงนี้เป็นไอศกรีมขนมจีนซาวน้ำ ไอศกรีมเบสคือกะทิ สับปะรด และขิง โรยหน้าด้วยกุ้งแห้งตำ ถ้ามีโอกาสกลับไปอีกจะลองชิมดู

ซึ่งเชฟหวานจะมีไปออกงานต่างๆอีกด้วย ติดตามอีเวนท์ต่างๆได้ว่าไปร่วมมือกับใครที่ไหนในเพจ Facebook และอินสตาแกรม

นี่คือร้านอร่อยมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครของเชียงใหม่ คุณผู้ฟังที่นิยมชมชอบรสชาติใหม่ๆปรุงอย่างสร้างสรรค์ รีบจองโดยด่วนเลย ร้านหยุดทุกวันอังคารนะจ๊ะ 

หมายเหตุ       ต้องจองโต๊ะล่วงหน้าทาง direst message ที่อินสตาแกรมและเฟซบุ๊ก คิวยาว 3-7 วัน

แนะนำ            เมนูไทยทวิสต์(twist) โดยใช้วัตถุดิบภาคเหนือ ใต้ อีสาน และมีของทะเลสดๆ เปลี่ยนตามฤดูกาล